วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2556

กลูต้าแบบฉีด ผลกระทบ ข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับร่างกาย

เชื่อได้ว่าหลายคนในสังคมความงามต้องเลือกใช้กลูต้าแบบฉีดเพื่อเร่งการปรับเซลล์สีผิวให้ขาวขึ้นอย่างแน่นอน นั้นเป็นเพราะว่า เป็นวิธีการที่รวดเร็ว สามารถเห็นผลลัพธ์ของการเปลี่ยนแปลงหลังการฉีดเพียง 2-3 สัปดาห์เท่านั้น ซึ่งไม่เพียงแค่ความขาวเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนช่วยให้สภาพผิวกระชับ เต่งตึงๆได้ทันทีหลังการฉีด

ซึ่งนั้นเป็นผลดีที่ส่งผลออกมาภายนอกของร่างกาย เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับผู้ใช้ แต่คุณรู้หรือไม่ว่ากลูต้าแบบฉีดยังส่งผลกระทบและผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับระบบการทำงานของอวัยวะภายในก็มีด้วยเช่นกัน ได้แก่
  • มะเร็งผิวหนัง
  • จอประสาทตาอักเสบ
  • ตับหรือไตวายเฉียบพลัน
  • ความดันเลือดสูง

โดยกลูต้าแบบฉีดช่วยปรับสภาพผิวให้ขาวได้เพียงช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น พอยาหมดฤทธิ์ไปก็จะกลับมามีสีผิวเดิม ไม่สามารถให้ผิวขาวได้อย่างต่อเนื่องหรือถาวรได้

ทั้งนี้ยังกลูต้าไธโอนที่นำมาประยุกต์ใช้กับการปรับสีผิวอีกหลายชนิดเช่น กลูต้าแบบรับประทานในรูปแบบแคปซูล อาหารเสริม, ทาโลชั่นไวท์เทนนิ่งที่มีส่วนผสมขอกลูต้าไธโอน, การชำระล้างล้างกายด้วยกลูต้าไธโอน เป็นต้น แต่ข้อตกต่างที่ทำให้กลูต้าแบบฉีดเห็นผลชัดเจน นั้นเป็นเพราะสารสามารถเข้าไปทำปฏิกิริยากับร่างกายได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการย่อยอาหารอย่างเช่นกลูต้าไธโอนชนิดรับปรทาน

วันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2556

การลดพุงเพื่อสุขภาพดี

          การน้ำหนักเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับสาวๆ ซึ่งการลดพุงนั้นนอกจากจะทำให้มีรูปร่างดีแล้ว ยังทำให้มีสุขภาพดีอีกด้วย ซึ่งจะต้องเริ่มด้วยวิธีที่ต้องปฏิบัติดังนี้
  1. เลี่ยงอาหารจังก์ฟู้ดส์ เพราะมีทั้งน้ำตาล และไขมันอิ่มตัวเป็นส่วนประกอบแทบทั้งนั้น
  2. เลี่ยงอาหารที่มีเยอะๆ น้ำตาล ควรเลือกทานอาหารประเภทซูการ์ฟรี ซึ่งมันช่วยทำให้หน้าท้องของคุณลดลงได้
  3. หลีกเลี่ยงอาหารประเภทแป้งขัดขาว ขนมปังขัดขาว พาสต้า โดนัท เค้ก และบิสกิต เพราะอาหารเหล่านี้จะทำให้คุณอ้วนขึ้น และจะทำให้เกิดเป็นไขมันสะสมอีกด้วย
  4. ห้ามกินขนมตอนกลางคืน จะทำให้ร่างกายไม่สามารถเผาผลาญไขมันออกไปได้ เพราะช่วงกลางคืนเราทานแล้วก็นอน ร่างกายไม่ได้เผาผลาญเลย
  5. ควรเปิดไฟนอน เพราะเมื่อเร็ว ๆ นี้มีการศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่า การนอนหลับในห้องที่เปิดไฟ จะมีช่วยลดความอยากอาหารได้มากกว่านอนในสภาพบรรยากาศมืดๆ 
  6. ควรออกกำลังกายสลายไขมัน เพราะมันจะช่วยเผาผลาญไขมัน และน้ำหนักให้ได้
  7. ดื่มชาเขียว วันละ 3-4 แก้ว เพราะมันจะช่วยให้การออกซิเดชั่นไขมันดีขึ้น เร่งอัตราการเผาผลาญในร่างกาย
  8. การดื่มน้ำผึ้งผสมน้ำมะนาวอุ่น ๆ ตอนเช้า
  9. อย่าปล่อยให้ตัวเองหิว เพราะหากยิ่งปล่อยให้หิว ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความอยากอาหารจะยิ่งหลั่งออกมา และจะทำให้คุณอยากอาหารและกินเยอะเกินไป ทำให้น้ำหนักเพิ่มได้
  10. ลดทานเค็ม เพราะการทานอาหารรสเค็มจัดเกินไปเป็นสาเหตุให้ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความอ้วน ทำงานและเกิดการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักได้


ข้อมูลจาก : health.kapook.com

วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2556

การแต่งหน้าเสริมจมูกให้ดูดี

          สาวไทยส่วนใหญ่มักมีปัญหากับจมูกที่ไม่ค่อยเป็นสัน ไม่โด่ง หรือโด่งเกินไป และนิยมมากในการแต่งหน้าเพื่อให้จมูกดูโด่งขึ้น โดยไม่ต้องเสริมจมูกด้วยวิธีเจ็บตัวอย่างการผ่าตัด เพียงแค่คุณรู้จักใช้เครื่องสำอางค์ให้เหมาะสมและรู้จักเทคนิคการแต่งหน้าให้มีมิติ เทคนิคการแก้ปัญหาจุดบกพร่องบนใบหน้าได้ เชื่อได้เลยว่าหากคุณสามารถทำได้ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งศัลยกรรมอีกต่อไป บนใบหน้าของเรานั้นมีส่วนที่เด่นๆ และมีปัญหาอยู่มากคือ จมูก ดังนี้ จึงขอแนะนำเทคนิคการแต่งหน้าให้จมูกดูโด่งขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัดเสริมจมูกเลย
  1. สาวๆ ที่มีจมูกแบน ใหญ่ ไม่มีสัน ใช้ไฮไลท์สีสว่างแต้มบริเวณสันจมูกจากนั้นเกลี่ยให้เป็นสันสวยงาม จากนั้นใช้คอนซีลเลอร์สีคล้ำกว่าผิวจริง 2 เฉด แต้มบริเวณปีกจมูกไปถึงบริเวณตรงกลางจมูก และข้างจมูก เว้นบริเวณที่ลงไฮไลท์สีสว่างไว้ จากนั้นใช้ฟองน้ำค่อย ๆ เกลี่ยให้สีกลมกลืนกัน 
  2. สาวๆ ที่มีจมูกแบน เล็ก ไม่มีสัน ใช้ไฮไลท์สีสว่างแต้มบริเวณสันจมูกและปีกจมูก จากนั้นเกลี่ยให้เป็นสันสวยงาม เสร็จแล้วใช้คอนซีลเลอร์สีคล้ำกว่าผิวจริง 2 เฉด แต้มบริเวณร่องจมูกและข้างจมูก จากนั้นใช้อายไลเนอร์สีน้ำตาลอ่อนขีดเส้นแบ่งระหว่างสันจมูกและปีกจมูกทั้งสองข้าง จากนั้นเกลี่ยให้กลมกลืนกัน 
  3. สาวๆ ที่จมูกมีสัน แต่เล็ก ใช้ไฮไลท์สีสว่างเกลี่ยบริเวณข้างจมูกและปีกจมูก เพื่อเน้นให้จมูกดูเด่นบนใบหน้า จากนั้นเกลี่ยคอนซีลเลอร์สีคล้ำกว่าผิวจริง 2 เฉด บริเวณร่องจมูก และข้างๆ ปีกจมูกเล็กน้อย 
  4. สาวๆ ที่จมูกมีสัน และใหญ่ ใช้คอนซีลเลอร์สีคล้ำกว่าผิวจริง 2 เฉด เกลี่ยบริเวณข้างจมูกและปีกจมูก ส่วนร่องจมูกให้ใช้คอนซีลเลอร์สว่างกว่าผิว 1 เฉดเกลี่ยให้กลมกลืนกับผิว จะช่วยให้จมูกดูเล็กลง 
  5. สาวๆ ที่มีจมูกโด่งเกินไป ใช้คอนซีลเลอร์สีคล้ำกว่าผิว 1 เฉด เกลี่ยบริเวณสันจมูก จะช่วยทำให้จมูกดูแบนลง ไม่โด่งจนเกินไป และใช้คอนซีลเลอร์สีสว่างกว่าผิว 1 เฉด เกลี่ยบริเวณร่องจมูก 
          ถึงว่าเป็นการเสริมจมูกได้อย่างเป็นธรรมชาติที่สุดเลยทีเดียว สำหรับการใช้เครื่องสำอางค์ในการอำพรางส่วนที่บกพร่องของใบหน้า โดยเฉพาะจมูกที่ถึงว่าเป็นส่วนที่เด่นมากบนใบหน้า หากจมูกคุณของคุณดูดีสมส่วนก็จะสามารถทำให้บนหน้าของคุณดูดีมากขึ้นนั่นเอง

วันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556

รักษาอาการนอนกรนและภาวะหยุดหายใจขณะหลับด้วยการผ่าตัด

              การรักษาอาการนอนกรนหลักๆ แล้วมี 2 วิธี คือ โดยวิธีการไม่ผ่าตัด ได้แก่ การลดน้ำหนัก และการออกกำลังกาย หลีกเลี่ยงยา หรือเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง การปรับเปลี่ยนท่าทางในนอน หรือท้ายสุดด้วยการใช้เครื่องช่วยหายใจ (CPAP) ซึ่งในบางรายใช้ได้ แต่ในบางรายก่อให้เกิดความรำคาญและ ปฎิเสธการใช้ไป
             อีกวิธีนั้นคือการรักษาโดยวิธีการผ่าตัด ซึ่งมีอยู่หลายวิธี ขึ้นอยู่กับการตรวจพบสาเหตุของปัญหานั้นว่าเป็นที่ตำแหน่งใด เช่น ถ้าเกิดจากเยื่อบุจมูกบวม ก็สามารถรักษาโดยการจี้เยื่อบุจมูกด้วยคลื่นวิทยุ (RFVTR) เพื่อลดขนาดลง, ถ้าผนังกั้นช่องจมูกคด ก็ผ่าตัดแก้ไขผนังกั้นช่องจมูก, ถ้ามีการอุดกั้นทางเดินหายใจในช่องคอ เช่น ทอนซิลโตมาก ก็อาจจะตัดทอนซิลทิ้ง ที่เรียกว่า Tonsillectomy ซึ่งเป็นวิธีแบบดั้งเดิม
             ต่อมาได้มีการพัฒนามีวิธีที่ทันสมัยกว่าคือการผ่าตัดด้วยเลยเซอร์ เพื่อสลายเนื้อเยื่อต่อมทอนซิลให้มีขนาดเล็กลง และเย็บซ่อมแซมต่อมทอนซิลให้มีรูปร่างและทำหน้าที่เป็นปกติ
             ปัจจุบันได้มีการพัฒนาเทคนิคใหม่ที่เป็นที่ยอมรับทั่วโลก เรียกว่า Modified CAPSO technique ร่วมกับการเย็บตกแต่งเพดานอ่อนและลิ้นไก่ ซึ่งข้อดีของการใช้วิธีนี้คือ ใช้เวลาในการผ่าตัดน้อย เสียเลือดแค่ไม่เกิน 10 cc. ใช้เวลาในการพักผ่อนหลังการรักษาเพียง 1 วัน และแผลในช่องคอหลังผ่าตัดสวยงาม
             การผ่าตัดวิธีนี้เหมาะสำหรับรักษาผู้มีนอนกรนและภาวะหยุดหายใจขณะหลับที่เป็นไม่รุนแรง แต่หากนำมาใช้ร่วมกับการรักษาอื่น เช่น จี้เยื่อบุจมูกด้วยคลื่นวิทยุ (RFVTR) และการใช้เลเซอร์ผ่าตัดสลายเนื้อเยื่อต่อมทอนซิลให้มีขนาดเล็กลง ร่วมกับการเย็บซ่อมแซมต่อนทอนซิล ก็จะสามารถรักษาผู้ที่มีนอนกรนและภาวะหยุดหายใจขณะหลับชนิดปานกลางถึงรุนแรงได้